ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เครื่องมือสำหรับการทำคอนเทนต์ (Content Marketing Tools)

ในการทำ Content Marketing นั้นถ้าอยากให้ได้ผลลัพธ์และประสิทธิภาพที่ดีที่สุด คุณอาจจะต้องอาศัยการนำเครื่องมือสำหรับการทำคอนเทนต์ (Content Marketing Tools) มาประยุกต์ใช้กับการสร้างสรรค์หรือวัดผลการทำงานของคุณด้วย โดยเราจะขอแนะนำเครื่องมือยอดนิยม 2 ตัวได้แก่

1. Google Analytics & Google Tag Manager

Google Analytics และ Google Tag Manager เป็นเครื่องมือในการวัดผลเพื่อดูค่า Metrics ต่าง ๆ ที่สำคัญของการทำ Content Marketing บนเว็บไซต์โดยเฉพาะคอนเทนต์ประเภท บทความ ที่เผยแพร่อยู่ในเว็บไซต์ของธุรกิจคุณ

เครื่องมือ Content Marketing

โดยการใช้งาน Google Analytics & Google Tag Manager จะช่วยให้คุณดู Metrics ที่สำคัญเช่น Page Views, Conversion, Average Time Spend และปัจจัยอื่น ๆ ได้ง่ายขึ้น รวมถึงสามารถรู้ถึงกลุ่มคนที่กดเข้ามาอ่านบทความของคุณได้ว่าเป็นใคร มาจากไหน เพศอะไร ใช้อุปกรณ์อะไรในการเข้ามาอ่านคอนเทนต์ ช่วยทำให้คุณวิเคราะห์ผลลัพธ์และนำมาปรับปรุงพัฒนาการทำคอนเทนต์บทความในเว็บไซต์ของธุรกิจได้ตลอดเวลาผ่านหน้า Dashboard ที่มีการอัปเดตแบบ Real Time

2. WordPress

WordPress คือระบบการทำงานหลังบ้านของเว็บไซต์ที่มีหน้าที่เป็น Content Management System หรือระบบการจัดการคอนเทนต์ที่เผยแพร่ลงในเว็บไซต์ เรียกง่าย ๆ ว่าเป็นระบบหลังบ้านที่คุณใช้ลงคอนเทนต์บนเว็บไซต์นั่นเอง

โดย WordPress นอกจากเป็นเครื่องมือในการเผยแพร่คอนเทนต์ลงในเว็บไซต์แล้วตัวของ WordPress ยังมี PlugIn บางตัวที่มีประโยชน์ต่อการสร้างสรรค์คอนเทนต์เช่น Yoast เป็น PlugIn ที่ทำหน้าที่เป็นเหมือน Checklist ในการลงคอนเทนต์ SEO ให้ถูกต้องเป็นไปตามหลัก SEO 100% 

เครื่องมือ Content Marketing

เมื่อเราสร้างหน้า Page หรือ เวลาเขียนบทความบน WordPress ที่ติดตั้ง PlugIn ของ Yoast ระบบจะแสดงเป็นจุดไฟ เขียว ส้ม แดง ซึ่งคือ Checklist พร้อมกับคำแนะนำว่ายังมีจุดไหนบ้างที่เรายังต้องปรับปรุงเพื่อให้ถูกต้องตามหลักของการเขียนคอนเทนต์ SEO On-Page

โดยทั้ง 2 เครื่องมือในการทำ Content Marketing ที่เราได้ยกตัวอย่างไปนั้นเป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น เพราะการทำ Content Marketing ในปัจจุบันนั้นยังมีเครื่องมือที่ช่วยในการสร้างสรรค์คอนเทนต์และวัดผลการทำงานอยู่อีกมากมาย ถ้าให้ยกตัวอย่างทั้งหมดคงไม่จบในบทความนี้แน่ ๆ 

แต่ถ้าใครมีคำถามอะไรเกี่ยวกับเครื่องมือของ Content Marketing ก็สามารถสอบถาม Digital Tips ได้ทันที เรายินดีที่จะให้คำตอบกับคุณเพียงแอด LINE มาพูดคุยกันตอนนี้

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

7 ขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์ Content Marketing

เมื่อทุกคนได้รู้ถึงความหมายและองค์ประกอบของการทำ Content Marketing Strategy กันไปแล้วในส่วนนี้เราขอมาอธิบายขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์ Content Marketing ให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งคุณสามารถนำไปปรับใช้กับการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของธุรกิจคุณได้ โดยจะมีด้วยกันทั้งหมด 7 ขั้นตอนดังนี้ 1. กำหนด Persona ที่ธุรกิจของคุณต้องการ  สร้าง Persona ที่คุณต้องการเจาะตลาดและทำการสื่อสาร เพื่อเป็นเหมือนรากฐานที่ดีและทำให้คุณได้รู้ว่าในการทำคอนเทนต์ออกมาเพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ จะต้องสื่อสารแบบใด 2. วิเคราะห์ผลลัพธ์การทำ Content Marketing ที่เคยทำ หากธุรกิจของคุณเคยทำ Content Marketing มาก่อนแล้ว ให้นำผลลัพธ์ของการทำ Content Marketing ที่คุณเคยทำมาวิเคราะห์เพื่อดูว่าในการทำคอนเทนต์ของแบรนด์มีผลตอบรับเป็นอย่างไร ได้ Engagement ดีไหม หรือยังขาดตกบกพร่องในส่วนใดไปหรือเปล่า โดยคุณสามารถดูผลลัพธ์ของการทำ Content Marketing ที่ผ่านมาได้จาก Tools เช่น  Facebook Business Manager , Google Analytics ฯลฯ  3. เปรียบเทียบกับการทำ Content Marketing ในปัจจุบัน ลองนำผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Content Marketing ในอดีตมาเปรียบเทียบกับผลลัพธ

Content Marketing

     Content Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดผ่านการสื่อสารด้วยคอนเทนต์ ประกอบด้วยศัพท์ 2 คำ ได้แก่ Content แปลว่าเนื้อหาหรือข้อความ รวมกับคำว่า Marketing ที่หมายถึง การทำการตลาด ทำให้การทำ Content Marketing นั้นหมายความถึงการสร้างสรรค์คอนเทนต์ลงในช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์, Social Media ฯลฯ เพื่อจุดประสงค์ทางการตลาด เช่น การส่งมอบคุณค่าหรือความรู้ของผลิตภัณฑ์, กระตุ้นการ สร้าง Engagement  ให้กับธุรกิจ, ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายหรือช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายจนนำไปสู่การสร้าง Conversion เป็นต้น

ตัวอย่าง Content Marketing จากแบรนด์ดัง

เราลองมาดูตัวอย่างการทำ Content Marketing จากแบรนด์ผู้นำด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Apple ที่มีวิธีการสร้างสรรค์ Content Marketing ที่เรียกได้ว่าทำน้อย ได้มากของจริง และเป็นการแสดงให้ทุกคนบนโลกเห็นว่า พลังของตัวอักษรบนคอนเทนต์ของพวกเขา เข้าถึงผู้บริโภคได้มากเพียงใด ถ้าคุณสังเกตเวลาเข้าไปยังเว็บไซต์ของ Apple และเลือก Product มาสักชิ้นคุณจะเห็นถึงการเขียน Heading บนเว็บไซต์และการใช้ภาพถ่ายของสินค้าที่ดึงดูดจนเราทุกคนเห็นภาพตามได้อย่างง่ายดายจนอยากที่จะครอบครองผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ตัวอย่างเช่น Ipad Air ที่ Apple เขียนจั่วหัวมาว่า Light in your backpack, Heavy on features ที่แปลว่าเบาเมื่ออยู่ในกระเป๋าแต่หนักที่ฟีเจอร์การใช้งาน และเมื่อกดเข้าไปยังเว็บไซต์คุณก็จะได้เจอกับภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวของสินค้าที่ทำให้คุณเห็นภาพของผลิตภัณฑ์ครบทั้ง 360 องศาทุกมุมทุกด้าน พร้อมกับคอนเทนต์ในหน้าเว็บไซต์ที่อธิบายถึงจุดเด่นและสเปคของการใช้งาน Ipad รุ่นนี้แบบละเอียด ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้บนเว็บไซต์ทั้งภาพและตัวหนังสือสามารถช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าพร้อมกับการตอบคำถามสิ่งที่ผู้ที่กำลังจะซื้อ Ipad