ข้ามไปที่เนื้อหาหลัก

เป้าหมายการทำ Content Marketing



เป้าหมายการทำ Content Marketing นั้นแน่นอนว่านอกจากจะเป็นตัวกลางในการสื่อสารระหว่างแบรนด์กับลูกค้าแล้ว การทำ Content Marketing ยังสามารถช่วยธุรกิจของคุณได้อีกในด้านต่าง ๆ ดังนี้

  1. Brand Awareness – การสร้าง Brand Awareness หรือการสร้างการรับรู้ในตัวแบรนด์ให้กับกลุ่มเป้าหมาย การรับรู้ภาพลักษณ์ของแบรนด์จะช่วยให้สินค้าหรือบริการของธุรกิจคุณเป็นที่รู้จักมากขึ้น กลุ่มเป้าหมายเข้าใจถึงประโยชน์ที่คุณต้องการจะมอบให้ได้ดีขึ้น 
  2. Lead Conversion & Nurturing – การทำ Content Marketing เป็นเหมือนการหล่อเลี้ยงและบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้าเป้าหมาย ให้เขาเปลี่ยน Stage มาตัดสินใจซื้อสินค้าของคุณอย่างค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งสามารถต่อยอดไปสู่การสร้าง Conversion ได้
  3. Customer Conversion – ช่วยส่งเสริมการขายสร้างยอด Conversion, Lead ได้เป็นอย่างดี เพราะกลุ่มเป้าหมายจะเริ่มคุ้นเคยและติดตามคอนเทนต์ที่คุณเผยแพร่ ทันทีที่พวกเขาพบเจอกับสินค้าหรือบริการของแบรนด์คุณที่ตรงกับความต้องการของเขา ก็ช่วยให้พวกเขาตัดสินใจซื้อได้ง่ายขึ้น เพราะเกิดความไว้วางใจในแบรนด์คุณแล้ว
  4. Customer Service – การสร้างคอนเทนต์เป็นส่วนหนึ่งในการบริการลูกค้า (Customer Service) เพราะในกรณีที่ลูกค้าเกิดคำถามต่าง ๆ เกี่ยวกับสินค้าหรือบริการของคุณ ถ้าคุณมีการทำคอนเทนต์ที่ตอบข้อสงสัยคลายปัญหาให้พวกเขาได้ กลุ่มเป้าหมายก็จะศึกษาจากคอนเทนต์ได้ทันที โดยไม่ต้องถามหรือ Feedback อะไรกลับมาหาธุรกิจเลย
  5. Retention / Loyalty – การสร้างคอนเทนต์อย่างสม่ำเสมอนั้นสามารถช่วยกระตุ้นการซื้อซ้ำ (Retention) และช่วยเพิ่มความภักดีต่อแบรนด์ หรือ Brand Loyalty ได้ เพราะพวกเขาจะเห็นว่าแบรนด์ของคุณมีความสม่ำเสมอในการให้บริการ และ Active อยู่อย่างต่อเนื่อง  
  6. Upsell – ช่วยในเรื่องของการ Upsell หรือเสนอขายสินค้าตัวอื่น ๆ ที่อยู่ในแบรนด์ของคุณได้ เพราะบางทีลูกค้าอาจจะรู้จักแบรนด์ของคุณเพราะสินค้าตัวหนึ่งที่พาพวกเขาเข้ามารู้จัก การทำคอนเทนต์จึงเป็นวิธีการสื่อสารที่ทำให้พวกเขาได้รู้จักกับสินค้าตัวอื่น ๆ และกระตุ้นยอดขายให้ธุรกิจคุณอย่างทั่วถึง
  7. Passionate Subscribers – การทำคอนเทนต์เป็นเทคนิคที่ดีที่สุดในการเพิ่มยอดผู้ติดตาม (Subscribers) ทั้งใน Social Media หรือ Email Marketing เพราะการทำคอนเทนต์ที่สม่ำเสมอและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายก็จะทำให้พวกเขาเกิดความรู้สึกชื่นชอบและอยากติดตามแบรนด์ของคุณไปตลอด

ความคิดเห็น

โพสต์ยอดนิยมจากบล็อกนี้

7 ขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์ Content Marketing

เมื่อทุกคนได้รู้ถึงความหมายและองค์ประกอบของการทำ Content Marketing Strategy กันไปแล้วในส่วนนี้เราขอมาอธิบายขั้นตอนการสร้างกลยุทธ์ Content Marketing ให้ประสบความสำเร็จ ซึ่งคุณสามารถนำไปปรับใช้กับการสร้างสรรค์คอนเทนต์ของธุรกิจคุณได้ โดยจะมีด้วยกันทั้งหมด 7 ขั้นตอนดังนี้ 1. กำหนด Persona ที่ธุรกิจของคุณต้องการ  สร้าง Persona ที่คุณต้องการเจาะตลาดและทำการสื่อสาร เพื่อเป็นเหมือนรากฐานที่ดีและทำให้คุณได้รู้ว่าในการทำคอนเทนต์ออกมาเพื่อตอบโจทย์คนกลุ่มนี้ จะต้องสื่อสารแบบใด 2. วิเคราะห์ผลลัพธ์การทำ Content Marketing ที่เคยทำ หากธุรกิจของคุณเคยทำ Content Marketing มาก่อนแล้ว ให้นำผลลัพธ์ของการทำ Content Marketing ที่คุณเคยทำมาวิเคราะห์เพื่อดูว่าในการทำคอนเทนต์ของแบรนด์มีผลตอบรับเป็นอย่างไร ได้ Engagement ดีไหม หรือยังขาดตกบกพร่องในส่วนใดไปหรือเปล่า โดยคุณสามารถดูผลลัพธ์ของการทำ Content Marketing ที่ผ่านมาได้จาก Tools เช่น  Facebook Business Manager , Google Analytics ฯลฯ  3. เปรียบเทียบกับการทำ Content Marketing ในปัจจุบัน ลองนำผลลัพธ์ที่ได้จากการทำ Content Marketing ในอดีตมาเปรียบเทียบกับผลลัพธ

Content Marketing

     Content Marketing คือ กลยุทธ์การตลาดผ่านการสื่อสารด้วยคอนเทนต์ ประกอบด้วยศัพท์ 2 คำ ได้แก่ Content แปลว่าเนื้อหาหรือข้อความ รวมกับคำว่า Marketing ที่หมายถึง การทำการตลาด ทำให้การทำ Content Marketing นั้นหมายความถึงการสร้างสรรค์คอนเทนต์ลงในช่องทางต่าง ๆ เช่น เว็บไซต์, Social Media ฯลฯ เพื่อจุดประสงค์ทางการตลาด เช่น การส่งมอบคุณค่าหรือความรู้ของผลิตภัณฑ์, กระตุ้นการ สร้าง Engagement  ให้กับธุรกิจ, ช่วยดึงดูดกลุ่มเป้าหมายหรือช่วยกระตุ้นการตัดสินใจของกลุ่มเป้าหมายจนนำไปสู่การสร้าง Conversion เป็นต้น

ตัวอย่าง Content Marketing จากแบรนด์ดัง

เราลองมาดูตัวอย่างการทำ Content Marketing จากแบรนด์ผู้นำด้านอุปกรณ์เทคโนโลยีระดับโลกอย่าง Apple ที่มีวิธีการสร้างสรรค์ Content Marketing ที่เรียกได้ว่าทำน้อย ได้มากของจริง และเป็นการแสดงให้ทุกคนบนโลกเห็นว่า พลังของตัวอักษรบนคอนเทนต์ของพวกเขา เข้าถึงผู้บริโภคได้มากเพียงใด ถ้าคุณสังเกตเวลาเข้าไปยังเว็บไซต์ของ Apple และเลือก Product มาสักชิ้นคุณจะเห็นถึงการเขียน Heading บนเว็บไซต์และการใช้ภาพถ่ายของสินค้าที่ดึงดูดจนเราทุกคนเห็นภาพตามได้อย่างง่ายดายจนอยากที่จะครอบครองผลิตภัณฑ์นั้น ๆ ตัวอย่างเช่น Ipad Air ที่ Apple เขียนจั่วหัวมาว่า Light in your backpack, Heavy on features ที่แปลว่าเบาเมื่ออยู่ในกระเป๋าแต่หนักที่ฟีเจอร์การใช้งาน และเมื่อกดเข้าไปยังเว็บไซต์คุณก็จะได้เจอกับภาพนิ่งและภาพเคลื่อนไหวของสินค้าที่ทำให้คุณเห็นภาพของผลิตภัณฑ์ครบทั้ง 360 องศาทุกมุมทุกด้าน พร้อมกับคอนเทนต์ในหน้าเว็บไซต์ที่อธิบายถึงจุดเด่นและสเปคของการใช้งาน Ipad รุ่นนี้แบบละเอียด ซึ่งคอนเทนต์เหล่านี้บนเว็บไซต์ทั้งภาพและตัวหนังสือสามารถช่วยกระตุ้นการตัดสินใจซื้อของลูกค้าพร้อมกับการตอบคำถามสิ่งที่ผู้ที่กำลังจะซื้อ Ipad